5 สุดยอดพิธีศพ ที่น่าขนลุก สยองขวัญมากที่สุด จากรอบโลก




อันดับ 5 สุตที เผาตัวตายบูชายัญ (Sutee Self-Immolation)มันคืออะไรกันละเนี่ย?

การเผาตัวตายบูชายัญ (หรือสุที) คือพิธีกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย 
โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจทำใจสามีตนเองไม่ได้มานอนนั่งลงข้างๆสามีของเธอในกองฟืนที่ใช้
ฌาปนกิจศพชองเขา และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี.......(เผาขณะเป็นๆนี้แหละ)

สุตที ถูกสืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดียต่อเนื่องมาอีกหลายศตวรรษ จนกระทั่งพิธีนี้ถูกจัดให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย 
ในช่วงการยึดอาณานิคมของอังกฤษในปี 1829 (แต่ทุกวันนี้พิธีนี้ยังทำอยู่ ทำให้มีสั่งห้ามอีกครั้งในปี 1956 
และอีกครั้งในปี 1981 แต่น้อยคนจะสนตูจะทำสักอย่าง)

ก็อย่างที่คุณๆจินตนาการกันแหละ เมื่อไฟมันเริ่มลาม จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาหญิงม่ายคิดว่าสงสัยเราตัดสินใจผิด
ทำพิธีบ้าๆ แบบนี้ว่าแล้วพยายามที่จะวิ่งหนีสุดชีวิต ซึ่งการทำแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่อัปยศเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนที่ยืน
มุงอยู่รอบๆ ต้องช่วยกันแทงหญิงม่ายด้วยท่อนไม้ไผ่ แล้วมัดเธอเอาไว้เพื่อให้เธอถูกเผา

มีกรณีหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 เมื่อแม่ม่ายหนีพ้นพวกคนที่คอยแทงและดับไฟได้ที่แม่น้ำใกล้ๆ พวกอินเดียมุง
จึงจับเธอยกใหญ่แล้วจับหักขาและแขนของเธอก่อนที่จะโยนเข้ากองไฟใหม่
ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?

เมื่อก่อน หญิงม่ายในอินเดียเคยถูกจัดอยู่ในฐานะที่ต่ำ แสนต่ำในชนชั้นทางสังคม ทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงม่ายจะถูก
ตัดสินว่าไม่บริสุทธิ์ ทั้งการสัมผัส เสียง และการเข้าร่วมในทุกสิ่งทุกจนเรียกได้ว่าน่ารังเกียจ ดังนั้งจึงมีคำถามเกี่ยวกับ
หญิงม่ายว่า พวกหล่อนควรทำอย่างไรเพื่อกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา และก็มีใครบางคนตอบว่า 

“ทำไมเธอไม่เผาตัวเธอเองในกองไฟซะล่ะ? ว่ายังไง?” 

นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่ออีกว่าสามีและภรรยาจะกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากตายไปแล้วอีก ทำให้เกิดพิธีดังกล่าวในที่สุด

อันดับ 4 การทำตนเองให้เป็นมัมมี่ของศาสนาพุทธ (Buddhist Self Mummification)มันคืออะไรกันละเนี่ย?

(ใครดูอินุยาฉะคงร้อง เอ๋อ) การทำตนเองให้เป็นมัมมี่นั้นเป็นพิธีเก่าแก่ที่สืบต่อกันมานานนมในประเทศญี่ปุ่น จนกระทั้งถึง
ช่วงปลายปี 1800 และกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายจนกระทั่งช่วงต้นปี 1900 

มันง่ายไหมทำมัมมี่แบบญี่ปุ่นนี้ เออ....ไม่ง่ายนะจะบอกให้ไม่ใช้แบบว่าคุณพันๆ ตัวเองด้วยผ้าพันแผล
แล้วรอมัจจุราชมารับ เป็นอันจบ ขอบอกเลยว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น

การทำนะตอนแรกคุณจะต้องใช้เวลากว่า 2000 วันเพื่อเตรียมพร้อมเป็นมัมมี่ โดยใช้ วิธีทำแบบพระนักบวชในศาสนาพุทธ
คือ อันดับแรกคุณจะต้องเอาไขมันทั้งหมดในตัวคุณออกไปให้หมด แล้ว ควบคุมอาหารให้กินเฉพาะพวกถั่วและเมล็ดธัญพืช 
และนักบวชคนนั้นจะไม่สามารถกินอย่างอื่นนอกจากนี้ไปอีก 1000 วันต่อจากนั้น เราต้องรีดน้ำออกจากร่างกายของคุณออกไปให้มากที่สุด เพราะเมื่อร่างกายของคุณมีน้ำเป็นส่วนประกอบ
เป็นส่วนมาก มันอาจทำให้คุณอึดอัดได้ นักบวชจะกินเพียงเปลือกไม้และรากไม้จากต้นสนนิดหน่อยเท่านั้น ต่อไปอีก 
1000 วัน จากนั้นพวกเขาจะดื่มชาพิเศษ (พิเศษในที่นี้คือ “ยาพิษที่รุนแรงสุดๆจนไม่น่าเชื่อ”) ทำจากน้ำหล่อเลี้ยง
ของต้นอุรุชิแล้วถ้าชาที่กินทำให้เกิดอาการท้องร่วงจนท้องระเบิดหรืออาเจียน แสดงว่ามันได้ผล 

แล้วคุณก็จะถูกขังในห้องหินเล็กๆ แค่ใหญ่พอที่คุณจะนั่งท่าดอกบัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว! 
ตอนนี้นั่งรอความตายได้เลย…………………..ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?

เดา.....คงเกิดมาจากความเชื่อในศาสนาพุทธที่ต้องการตรัสรู้ โดยคุณจะต้องแยกตัวออกจากโลกแห่งวัตถุโดยสิ้นเชิง 
เมื่อคุณตายแล้ แทนที่จะต้องกลับมาเกิดใหม่ คุณจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไม
พวกเขาถึงเก็บตัวกว่า 1000 วันในห้องหิน เพราะผู้คนย่อมมาคอยส่องดูข้างในเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นมัมมี่ตลอดเวลา 
จะทำให้นักบวชวอกแวกได้

อันดับ 3 พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวพุทธธิเบต (Tibetan Buddhist Sky Burial)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?

เป็นพิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวธิเบตโดยชำแหละศพที่ได้รับการสืบทอดกันจาก สิงหาสับ เออ..... ล้อเล่น 
ความจริงมันมาจากทิเบตต่างหากละ ศพจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ บนเทือกเขาสูงแล้วเหลือไว้ให้นกแร้ง ชาวทิเบต
เรียกพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมานี้ว่า ย่าทอร์ ซึ่งหมายถึงให้ทานแก่นก และรวมทั้งขา, ชิ้นส่วนลำตัวและหัวด้วย 
ร่างของศพจะถูกห่อด้วยผ้าขาว แล้วนำไปที่จัดพิธีศพ ที่ซึ่งพระได้ล่อให้นกแร้งและนกกินซากสัตว์อื่นๆมารอแล้ว 
กลุ่มพระจะช่วยกันแกะห่อศพ ขั้นตอนนี้ไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไรดูจากที่ศพถูกทิ้งไว้สามวันมาแล้ว 
(ตามธรรมเนียมชาวธิเบต)

พระหนึ่งรูปหรือมากกว่านั้นจะจัดเตรียมตัดศพด้วยขวาน เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้ง
ที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน เริ่มด้วเอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย 
เนื้อที่สับไว้ เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่ 
กับหนังศีรษะติดผม แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึก
ถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลังร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น เขาได้ไปจุติในร่างใหม่
เรียบร้อยแล้วทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?

ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่มเมื่อไร แต่เป็นพิธีกรรมทางศานาพุทธทิเบตที่สำคัญมาก
ชาวทิเบตซึ่งมองศพว่าเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่แล้ว ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหาร
แก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้ จะนำเอาวิญญาณผู้ตาย
ไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้ จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไป
จับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ ไวได้หลายชีวิตด้วยนะเหอๆ

อันดับ 2 ตากศพให้แห้งแบบอบอริจิน (Aboriginal Body Exposure)มันคืออะไรกันละเนี่ย?

เป็นพิธีศพของชาวเผ่าออสเตรเลีย ชนเผ่าอะบอริจิน แต่หลายฝ่ายบอกว่าไม่จริงๆๆๆๆ ไม่มีพิธีแบบนี้นะ ไม่มีหลักฐานนี้หว่า 
อย่างไรก็ตามดูๆ ไปจะเหมือนพิธีศาสนาธรรมดามากกว่า ในทิศเหนือโดยเฉพาะ โดยมีสองขั้นคือพิธีก็ทำศพให้แห้งตังหาก 
เอาใบไม้กับพุ่มไม้มาทับ ให้ศพแห้งแบบแต้ดแต๋ แล้วก็เอากระะดูกออกจากศพแห้งแล้ว มาทาสีแดง แล้วก็เอาศพมาแห่
จากนั้นก็เอาไปใส่ไว้ในถ้ำ จนกลายเป็นฝุ่นไปเองไม่ก็เอาไปใส่หลุม 

นอกจากนี้มีรายงานว่ามีการกินศพด้วย.............กินศพญาติพี่น้องครับท่าน 
กินเนื้อ กินน้ำหนองของศพที่ตายแล้ว โอยท่าจะอร่อย
ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?

เป็นความเชื่อของคนถิ่นเดิมและวัฒนธรรมที่ของเขา

อันดับ 1 ส่งศพท่องอวกาศ (Space Burial) มันคืออะไรกันละเนี่ย?


กวนจริงๆ สำหรับพิธีศพอันดับหนึ่งมันสยองตรงไหนนี้ กับพิธีฝังศพที่สมัยใหม่ที่สมัยใหม่อย่างตรงไปตรงอย่างยิ่ง 
คือการส่งอัฐิไปลอยเหนือบรรยากาศโลก หรือ Space Funeral ซึ่งพิธีนี้เป็นความคิดของบริษัทจัดการศพ 
บาเตสวิลล์ คาสเก็ต ซึ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา ออกไอเดียที่จะให้คนรวยแต่ไม่มีบุญที่อยากไปอวกาศ ไหนๆ 
ก็ไปตอนมีชิวิตไม่ได้ก็ขอไปตอนตายก็ได้ฟ่ะ

ใช่!! คุณสามารถทำพิธีฝังศพด้วยตัวเองของคุณ เว็บนี้เลยครับ www.memorialspaceflights.com 

ราคาก็ขึ้นอยู่กับต้องวิธีการส่งและระยะทางที่จะไปไกลขนาดไหน โดยราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 695$ เท่านั้นเอง
(เคยมีลูกค้าใช้เงินกว่า 60,000 $ เพื่อไปดวงจันทร์!!) ได้ปล่อยจรวดที่เต็มไปด้วยอัฐิมนุษย์กว่า 200 คน
ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงอัฐิของ เจมส์ ดูแฮน ดาราระดับตำนานที่รับบทเป็น มอนโกเมอรี สก็อตต์ 
หรือ สก็อตตี้ หัวหน้าวิศวกรแห่งยานเอ็นเตอร์ไพรส์ในซีรีย์หนังอวกาศสุดอมตะเรื่อง สตาร์ เทร็ค 
และนายกอร์ดอน คูเปอร์ อดีตนักบินอวกาศของยานเมอร์คิวรี ซึ่งเป็นยานอวกาศบรรทุกมนุษย์รุ่นบุกเบิก
ขององค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐ (นาซา)รายงานระบุ ครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมถึงสาวกของซีรีย์เรื่องสตาร์ เทร็คกว่า 500 คน ได้ไปรวมตัวกันที่ทะเลทราย
อันห่างไกลในรัฐนิวเม็กซิโกที่ใช้เป็นสถานที่ปล่อยจรวด ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยน้ำตา และรอยยิ้มของแฟนๆ ที่ทั้งอาลัย 
และยินดีได้ส่งอัฐิของดาราผู้เป็นที่รักขึ้นอวกาศเสียที หลังจากที่ต้องเลื่อนมาหลายครั้งนับแต่เสียชีวิตเมื่อปี 2548 
โดยผู้ที่ต้องการส่งอัฐิขึ้นไปโคจรในอวกาศจะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 495 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,000 บาท)
ไม่แพงใช่ไหมละ

Source: http://board.postjung.com/963611.html

Share on Google Plus

About Unknown

This is a short description in the author block about the author. You edit it by entering text in the "Biographical Info" field in the user admin panel.
    Blogger Comment
    Facebook Comment

0 comments:

Post a Comment